วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

มิลินทปัญหา(๑๒)


(๑๔) วิริยลักขณปัญหา คำรบ ๑๑.

     สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสปุจฉาด้วยลักษณแห่ง วิริยะว่า ข้าแต่พระนาคเสนผู้เป็นเจ้า อันว่าวิริยะนั้นเล่ามีลักษณะเป็นประการใด
     พระนาคเสนวิสัชนาแก้ไขว่า ดูกรบพิตรพระราชสมภาร อันว่าวิริยะนี้มีลักษณะว่าอุปถัมภนาการค้ำชูไว้ มิให้กองกุศลธรรมทั้งหลายสิ้นเสื่อมสูญไป ของถวายพระพร
     พระเจ้ากรุงมิลินท์จึงตรัสว่า นิมนต์อุปมาให้แจ้งก่อน
     พระนาคเสนถวายพระพรอุปมาว่า ดูกรบพิตรพระราชสมภาร เปรียบปานเหมือนเรือนอันเก่าชำรุดทรุดเซ อันจะล้มไป เขาจึงเอาไม้เข้าค้ำจุนไว้ มิให้เรือนเก่าตีเสนขาดนั้นล้มลง ช่วยปะทะปะทังค้ำจุนไว้ มีครุวนาฉันใด วิริยะก็อุปถัมภ์ค้ำชูไว้ซึ่งกุศลธรรมในสันดานอันมีจิตเป็นกุศลมิให้เสื่อมไปได้ ดุจตะม่อไม้จุนเรือน ขอถวายพระพร
     สมเด็จพระเจ้ามิลินทร์ภูมินทราธิบดี มีพระราชโองการตรัสว่า นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าอุปมาให้ยิ่งไปกว่านี้ก่อน

     พระนาคเสนถวายพระพรอุปมาว่า ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร ปานดุจบรมกษัตริย์เสด็จไปปราบอรินทร์ราชด้วยเสนาเป็นอันมาก ก็มิอาจจะรุกรบหมู่อรินทร์อันน้อยได้อันดับนั้นไป จึงมีพระราชโองการให้เสนาไปแต่น้อย ตั้งตัวนายไปตรวจตราตามหน้าที่ เรียงตัวกันเป็นกองอุดกองหนุน กำชับกำชาเป็นอันดี ก็เข้ากระโจมตีเสนาอันมากมายให้พ่ายแพ้ไปอาศัยตั้งกองอุดกองหนุนและกองตรวจตรา มีครุวนาฉันใด วิริยะมีลักษณะค้ำชูไว้ซึ่งกองกุศลมิให้เสื่อมได้ อุปมาดุจเสนน้อยมีกาองหลังตรวจอุดหนุนค้ำชู ยังหมู่เสนาเป็นอันมากให้กระจัดกระจายพ่ายแพ้ไปนั้น ต้องด้วยพระพุทธฎีกาสมเด็จพระศรีสรรเพชญ์อนาวรณญาณตรัสประทานธรรมเทศนาไว้ดังนี้
"วิริยพโล ภิกฺขเว อริยสาวโก อกุสลํ ปชหติ กุสลํ ภาเวติ
สาวชฺชํ ปชหติ อนาวชฺชํ ภาเวติ สทฺธมฺมา น ปริหายนฺตีติฯ

     กระแสพระพุทธฎีกาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระอริยสาวกย่อมฝักใฝ่ในวิริยพละมีเพียรเป็นกำลังยังกองอกุศลให้สูญเสื่อมไป แล้วให้กุศลธรรมจำเริญสุกใสไพโรจน์ ละเสียซึ่งสิ่งอันเป็นโทษกระทำแต่ที่หาโทษมิได้นั้น มิให้สูญเสียจากพระสัทธรรม นี่แหละสมเด็จพระสรรเพชญ์พุทธเจ้า โปรดไว้ฉะนี้ ขอถวายพระพร
     สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดี ได้ทรงฟังก็มีพระทัยชื่นชมภิรมย์รับคำว่า พระผู้เป็นเจ้าช่างกล่าวอุปมา ฟังดูก็สมควรในกาลบัดนี้

 วิริยลักขณปัญหา คำรบ ๑๑ จบเท่านี้

(๑๕) สติลักขณปัญหา คำรบ ๑๒.

     ขณะนั้นพระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดี มีพระราชโองการตรัสถามด้วยลักษณะแห่งสติต่อไปว่า ข้าแต่พระนาคเสนผู้เป็นเจ้า สตินี้เล่ามีลักษณะประการใด
     พระนาคเสนวิสัชนาแก้ไขว่า ดูกรบพิตรพระราชสมภาร สติมีลักษณะ ๒ประการ คือ อปิลาปนลักขณะสติ ๑ อุปคัณหณลักขณาสติ ๑
     สมเด็จพระเจ้ากรุงมิลิทน์มีพระราชโองการซักถามว่า ข้าแต่พระนาคเสนผู้มีปัญญาปรีชา อปิลาปนลักขณาสตินั้นประการใด
     พระนาคเสนจึงวิสัชนาแก้ไขว่า ดูกรบพิตรพระราชสมภาร อปิลาปนลักขณาสตินั้น คืออารมณ์ให้ระลึกไปในธรรมทั้งหลายคือ เตือนว่า สิ่งนั้นดีสิ่งนั้นชั่ว สิ่งนี้ไม่เป็นประโยชน์ สิ่งนี้เป็นโทษ สิ่งนี้เป็นคุณ สิ่งนี้ขาวสิ่งนี้ดำ เตือนอารมณ์ให้ระลึกในธรรมทั้งหลายนี้ว่า ธรรมสิ่งนี้เป็นสติปัฏฐาน ๔ ธรรมสิ่งนี้เป็นสัมมัปปธาน ๔ ธรรมสิ่งนี้เป็นอิทธิบาท ๔ ธรรมสิ่งนี้เป็นอินทรีย์ ๕ ธรรมสิ่งนี้เป็นพละ ๕ ธรรมสิ่งนี้โพชฌงค์ ๗ ธรรมสิ่งนี้เป็นอัฏฐังคิกมรรค ๘ประการ ธรรมสิ่งนี้เป็นสมถกรรมฐาน ธรรมสิ่งนี้เป็นวิปัสสนากรรมฐาน ธรรมสิ่งนี้เป็นฌานเป็นสมาบัติ เป็นวิชชา เป็นวิมุตติ เป็นกองจิตกองเจตสิก เมื่อโยคาวจรได้อปิลาปนลักขณาสติเตือนอารมณ์ให้ระลึกถึงธรรมดังนี้ ก็มิได้ส้องเสพซึ่งธรรมอันมิควรจะส้องเสพ กลับส้องเสพซึ่งธรรมควรจะส้องเสพดังนี้ ชื่ออปิลาปนลักขณาสติ ของถวายพระพร
     สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสนิมนต์พระนาคเสนให้กระทำอุปมา
     พระนาคเสนจึงเถรวาจาอุปมาถวายว่า ดูรานะบพิตรพระราชสมภารเปรียบปานดุจภัณฑาคาริกบุรุษผู้หนึ่งเป็นชาวคลังของบรมจักร ย่อมทูลบรมจักรตักเตือนให้ระลึกถึงสมบัติทุกเช้าเย็น ทูลว่าเครื่องประดับช้างเท่านั้น ม้าเท่านั้น รถเท่านั้น พลเดินลำลองเท่านั้น ทองเท่านั้น เงินเท่านั้น มีครุวนาฉันใด อปลาปนลักขณาสตินี้ไซร้ เมื่อบังเกิดก็เตือนอารมณ์ให้ระลึกถึงปฏิภาคธรรมทั้งหลาย คือกุศลอกุศลบาปบุญคุณโทษเปรียบดุจสีขาวกับดำ และเตือนอารมณ์ให้ระลึกว่า ธรรมสิ่งนี้คือสติปัฏฐาน เป็นอาทิฉะนั้น ก็ย่อมส้องเสพซึ่งธรรมอันควรจะเสพ อปิลาปนลักขณาสตินี้เตือนอารมณ์ให้ระลึกไปในเบื้องหน้าเบื้องหลัง เหมือนชาวคลังระลึกทูลเตือนบรมจอมจักรพรรดิให้ระลึกถึงสมบัตินั้นขอถวายพระพร
     ขณะนั้นพระเจ้ามิลินท์ปิ่นสาคลนครก็เห็นสมควรด้วยอุปมาในกาลนั้น สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดี มีพระราชโองงการตรัสว่า ข้าแต่พระนาคเสนผู้เป็นเจ้าผู้ปรีชา อันว่าอุปคัณหณลักขณาสตินั้น มีลักษณะเป็นประการใด
     พระนาคเสนจึงวิสัชนาแก้ไขว่า ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร อุปคัณหณลักขณาสตินั้น เมื่อจะบังเกิดในสันดานนี้ ชักชวนให้ถือเอาคติในธรรมอันดีพระโยคาวจรเจ้าเมื่ออุปตัณหณลักขณาสติบังเกิดในสันดาน ย่อมพิจารณาว่า ธรรมสิ่งนี้มีอุปการธรรมสิ่งนี้หาอุปการมิได้ ก็นำเสียซึ่งธรรมอันมิได้เป็นประโยชน์ถือเอาธรรมอันเป็นประโยชน์นำเสียซึ่งธรรมอันมิได้เป็นอุปการ ถือเอาแต่ธรรมอันเป็นอุปการ ดูรานะบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐ อุปคัณหณลักขณาสตินั้นมีลักษณะละเสียซึ่งสิ่งอันชั่ว ถือเอาแต่สิ่งอันดีดังนี้แหละขอถวายพระพร
     สมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นประชากร มีสุนทรพจนารถอาราธนาว่า นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าอุปมาให้แจ้งก่อน
     พระนาคเสนถวายพระพรว่า ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร เปรียบปานดุจนายประตูของบรมกษัตริยาธิราชถ้าเห็นผู้ใดประหลาดเข้าไปสู่ประตูพระราชวังนั้น ก็ห้ามเสียมิให้เข้าไป ผู้ใดที่เป็นอุปการแก่บรมกษัตริย์เจ้า คือ ข้าเฝ้าผู้ใหญ่ผู้น้อยนั้นก็ปล่อยให้เข้าไปสู่พระราชฐาน นายประตูเฝ้าพระทวารกำจัดเสียซึ่งคนอันใช่ข้าเฝ้า ถือเอาแต่ที่ข้าเฝ้าให้เข้าไปสู่พระราชฐานนั้น มีครุวนาฉันใด อุปคัณหณลักขณาสตินั้น ถือเอาแต่ธรรมอันเป็นคุณเว้นเสียซึ่งธรรมอันมิได้เป็นคุณ ดุจนายประตูอันห้ามเสียซึ่งคนใช่ข้าเฝ้า ถือเอาแต่ข้าเฝ้าที่คุ้นเคยให้เข้าไปสู่พระราชฐาน นี่แหละพระโยคาวจรเจ้ามีสติเป็นอุปคัณหณลักขณาสติเว้นเสียซึ่งสิ่งอันเป็นโทษถือเอาซึ่งธรรมอันเป็นประโยชน์เป็นคุณ ชื่อว่ามีสติเป็อุปคัณหณลักขณาสติสมด้วยพระพุทธฎีกา      สมเด็จพระบรมนายกโลกนาถศาสดาจารย์ประทานพระสัทธรรมเทศนาว่า
"สติ จ โข อหํ ภิกฺขเว สพฺพตฺถิกํ วทามิ"

     พระพุทธฎีกาตรัสว่า ดูรานะภิกษุทั้งหลายพระตถาคตนี้สรรเสริญว่า สติให้สำเร็จประโยชน์นำเสียซึ่งโทษ นี่แหละพระพุทธฎีกาโปรดไว้ฉะนี้ขอถวายพระพร
ส่วนสมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นประชากร ได้ทรงพระนาคเสนพยากรณ์แก้ปัญหา จึงตรัสว่า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวนี้สมควรแล้ว

 สติลักขณปัญหา คำรบ ๑๒ จบเท่านี้

(๑๖) สมาธิลักขณปัญหา คำรบ ๑๓.

     สมเด็จพระเจ้ามิลินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสถามว่า ข้าแต่พระนาคเสนผู้ประกอบด้วยปรีชา สมาธิมีลักษณะอย่างไร
     พระนาคเสนวิสัชนาแก้ไขย่า ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร สมาธินี้มีลักษณะเป็นประธาน อันว่ากุศลธรรมบรรดามีนั้น มีพระสมาธิเป็นประธานเป็นหัวหน้ามีพระสมาธิเป็นจอม มีพระสมาธิเป็นเงื้อม มีพระสมาธิปกงำ ตกว่ากุศลธรรมทั้งปวงนี้ มีสมาธิเป็นปุเรจาริก ดังนี้ จึงว่าสมาธิมีลักษณะเป็นประธาน พระราชสมภารพึงเข้าพระทัยด้วยประการฉะนี้
     พระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดี มีพระราชโองการตรัสว่า นิมนต์พระผู้เป็นเจ้ากระทำอุปมาไปก่อน
     พระนาคเสนถวายพระพรอุปมาว่า ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร เปรียบดุจนิเวศเรือนมียอดอันงามยิ่ง ฝาและพรึง ชื่อเชิงกลอนและจั่วทั่วทัพพสัมภาระเครื่องเรือนนั้นประชุมนักสิ้น เรียกว่าเรือนยอดนั้น อาศัยมียอดเป็นจอม อาศัยมียอดเป็นเงื้อม อาศัยมียอดง้ำชะง่อนปกไป ฉันใด พระสมาธินี้เป็นประธานแก่กองกุศลทั้งปวงสิ้น กุศลธรรมทั้งสิ้นนั้น มีพระสมาธิเป็นยอดเป็นเงื้อมเป็นที่ปกงำดุจเรือนยอดนั้น ขอถวายพระพร
     สมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์เป็นภูมินทราธิบดีมีพระราชาโองการตรัสว่า อาราธนาพระผู้เป็นเจ้ากระทำอุปมาให้ภิยโยภาวะยิ่งขึ้นไปกว่านี้
     พระนาคเสนมีเถรวาจาอุปมาอีกเล่าว่า ดูรานะบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐในสมบัติมหาศาล เปรียบปานดุจบรมกษัตริย์อันมีที่เสด็จไปสู่ประเทศอันใดอันหนึ่งด้วยพระบวรยศอันยิ่ง มีพยุหยาตราพร้อมด้วยจตุรงคเสนาทั้ง ๔ คือ เสนาหัตถี เสนีอาชา เสนารถเสนีบทจรเดินลำลองปกป้องแห่แหนแสนสุรโยธา และเสนาจตุรงค์บรรดาที่ยกมานั้น มีสมเด็จบรมกษัตราธิราชนั้นเป็นประธานสิ้น มีพระมหากษัตราธิราชนั้นเป็นจอมเป็นเงื้อมเป็นที่ปกงำ ฉันใด อันว่ากุศลธรรมทั้งหลาย ก็อาศัยพระสมาธิเป็นประธานเป็นจอมเป็นเงื้อมเป็นที่ปกงำ ดุจคนทั้งหลายอาศัยสมเด็จบรมกษัตริย์ฉะนั้น ขอถวายพระพรสมด้วยวาระพระบาลีสมเด็จพระชินวรตรัสไว้ฉะนี้
สมาธิ ภิกขเว ภาเวถ สมาธิโก ภิกฺขุ ยถาภูตํปชานาตีติ

     แปลตามกระแสพระพุทธฎีกาว่า ดูรานะภิกษุผู้กลัวภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายจงพากันฝักใฝ่เถิด ซึ่งพระสมาธิอันประเสริฐ ภิกษุรูปใดได้จำเริญพระสมาธิอัน เลิศนี้จะดีนักหนา ปชานาติ จะตรัสรู้มรรคและผลและไตรวิชชาสมาบัติ ยถาภูตํ เที่ยงแท้ดังนี้ นี่แหละพระพุทธฎีกาโปรดไว้ จงทราบในพระบวรราชสันดานด้วยประการดังนี้
     ฝ่ายสมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นกษัตริย์ก็มีพระราชโองการตรัสว่า กลฺโลสิ พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนานี้สมควรแล้ว

 สมาธิลักขณปัญหา คำรบ ๑๓ จบเท่านี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น