วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

มิลินทปัญหา(๘)


(๖) เชิญพระนาคเสนเข้าวัง .

 
    แท้จริงอันดับนั้นมา สมเด็จบรมกษัตราธิราชมิลินท์ภูมินทราธิบดี ทรงพระราชดำริฉะนี้ว่า พระภิกษุรูปนี้ มีปัญญาอาจสามารถที่จะวิสัชนาได้ อาตมาจะถามโดยเหตุอันพิเศษหลาก ๆ มากนักหนา เวลานี้ก็เป็นเวลาสายัณห์ตะวันอัสดงลงลับไป ต่อวันรุ่งพรุ่งนี้จะให้นิมนต์พระนาคเสนเข้าไปสู่พระราชฐานของอาตมา จะถามอรรถปัญหาให้หลาก ๆ มากกว่านี้ ดำริแล้วพระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการสั่งเทวมันติยอำมาตย์ผู้ฉลาดว่า ดูกรเทวมันติยอำมาตย์จงอาราธนาพระผู้เป็นเจ้านาคเสนให้เข้ามาสั่งสนทนากับด้วยเราในราชนิเวศน์แต่เพลาเช้าอย่าให้พระผู้เป็นเจ้าไปในที่อื่น ตรัสแล้วพระองค์ก็ลาพระภิกษุแปดหมื่นกับพระนาคเสนเสด็จถึงประตูอสงไขยบริเวณวงวัด ก็เสด็จขึ้นหลังอาชาชาติสินธพพระที่นั่งทรงพร้อมด้วยหมู่นิกรแสนจตุรงค์ พระองค์ก็ตรัสบ่นแต่ว่า นาคเสน นาคเสน มาบนหลังสินธพ พระที่นั่งกระทั่งถึงประตูพระราชวัง เสด็จเจ้ายังอันเตปุระราชนิเวศน์ตำหนักทองของพระองค์
    ในกาลครั้งนั้นฝ่ายเทวมันติยอำมาตย์ ก็อาราธนาพระนาคเสนดุจกระแสพระราชโองการ ส่วนพระนาคเสนก็ชื่นบานรับอาราธนา ครั้นรุ่งราษราตรีรัศมีทิวากรสว่างกระจ่างฟ้า ฝ่ายว่าอำมาตย์ทั้งหลาย ๔ คน ชื่อว่าเนมิตติยอำมาตย์คน ๑ ชื่อว่าอันตกาย อำมาตย์คน ๑ ชื่อว่าอังกุรอำมาตย์คน ๑ ชื่อว่าสัพพทินนอำมาตย์คน ๑ สิริเป็น ๔ คนด้วยกันจึงทูลสมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีว่า ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อมเพลาเช้าวันนี้ทรงพระกรุณาจะให้พระนาคเสนมาสู่ราชฐานหริอประการใดจึงมีพระราชโองการตรัสว่า เออให้เธอเข้ามาเถิดอำมาตย์จึงทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ พระภิกษุบริวารพานจะมากถึงแปดสิบพันจะโปรดให้พระนาคเสนนั้นนิมนต์มาด้วยเท่าไรจึงมีพระราชโองการตรัสว่า ตามแต่ในพระนาคเสนท่านจะพามาสัพพทินนอำมาตย์จึงทูลว่า ขอพระราชทานให้พระนาคเสนนิมนต์พระสงฆ์มาด้วย ๑๐ องค์ อย่าให้เอามามากเลย
พระราชโองการตรัสว่า สัพทินนะเอ่ย อย่าบังคับเลย ตามในท่านจะมาเถิด สัพพทินนของที่จะเลี้ยงพระภิกษุนี้สินไปไม่มีหรือประการใด ท่านจะเจ้ามาเท่าไรตามใจท่าน โภชนาอาหารในราชฐานของเรามีเป็นนักเป็นหนา จังหันจะไม่พอเพียงที่จะเลี้ยงท่านหรือประการใดสัพพทินนะฟังพระราชโองการก็ก้มหน้านั่งนิ่งอยู่ หารู้ที่จะรู้ทูลทัดขัดพระราชโองการไม่ส่วนอำมาตย์ทั้ง ๔ ได้สวนาการฟังกระแสพระราชโองการฉะนี้ อำมาตย์ทั้ง ๔ คือสัพพทินนะ เนมิตติยะ
เจ้าอังกุระและเจ้าอันตกายะ ก็พากันถวายบังคมลาลุกมาขมีขมันมิทันใดก็ถึงอสงไขยบริเวณ จึงเข้าไปสู่สำนักพระนาคเสน องค์เอกอเสกขบุคคล นิมนต์พลันว่าข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า มีพระราชโองการให้กระหม่อมฉันมานิมนต์พระเจ้าให้เข้าไปฉันยังนิเวศน์วังใน กับภิกษุบริวารมากเท่าใดก็ตามน้ำใจพระผู้เป็นเจ้าจะพาเข้าไปในกาลบัดนี้
ขณะนั้นพระนาคเสนองค์พระอรหันต์อันมีอายุมิ่งมงกุฎโมลีโดยฟังอำมาตย์ทั้ง ๔ อาราธนา ก็นุ่งสบงทรงจีวรมีพระกรจับบาตรพาสงฆ์แปดหมื่นลีลาศมาเป็นอันดับกัน แต่เพลาเข้าพระผู้เป็นเจ้าก็เจ้าสู่พระราชธานี ฝ่ายอำมาตย์ทั้ง ๔ ก็ตามไปด้วยกัน


(๗) อัตกายปัญหา คำรบ๔.

     อันตกายอำมาตย์นั้น จึงถามปัญหาพระนาคเสนองค์เอกอรหันต์ว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้ากล่าววานนี้ว่า ชื่อของพระผู้เป็นเจ้าชื่อนาคเสน แต่ว่าชื่อนาคเสนนี้มิได้จัดเป็นสัตว์เป็นบุคคล นี่แหละข้าพเจ้ายังสงสัย      พระนาคเสนจึงถามอันตกายะไปว่า ท่านเข้าใจว่าอะไรชื่อนาคเสน
     อันตกายะจึงกล่าววาจาว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเข้าใจว่าลมหายใจเข้าออกในกายนี้ยังมีอยู่ตราบใด ก็ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ เหมือนอย่างพระผู้เป็นเจ้าฉะนี้มีชีวิตอยู่ได้ว่านาคเสน
ขณะนั้นพระนาคเสนจึงถามว่า ดูกรอำมาตย์ อาตมาจะถามท่าน ถ้าแม้ว่าลมระบายหายใจออกจากกายมิได้กลับเข้าภายในกาย คน ๆ นั้นจะตายหรือว่าหามิได้
อันตกายอำมาตย์จึงว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ลมไม่เข้าไปภายในกาย ลมออกไปภายนอกกายไม่กลับเข้าไปในกายแล้ว ผู้นั้นก็ตาย
พระนาคเสนองค์อรหันต์ท่านจึงว่า ถ้าฉะนั้น ดูกรอันตกายะ คนที่เป่าแตรเป่าสังข์ทั้งหลาย ลมออกนอกกาย จะมิตายสิ้นหรือ
อันตกายอำมาตย์ว่าไม่ตาย
พระนาคเสนองค์อรหันต์จึงว่า ดูกรอันตกายะ เหมือนช่างทองทั้งหลายเป่ากล้องประสานทองก็ดี คนพวกนี้ลมออกนอกกายไม่กลับเข้าในกายนี้ จะตายหรือประการใด อนึ่งเล่าคนที่เป่าปี่กระนี้จะมิตาย
อันตกายะจึงว่าไม่ตาย
พระนาคเสนจึงว่า ดูกรอันตกายะ เออท่านสิว่าลมออกนอกกายไม่เข้าไปภายในกายแล้วก็ตาม ก็ทำไมคนทั้งหลายที่เป่าแตรและเป่าสังข์ คนทั้งหลายที่เป่ากล้องประสานทองและคนที่เป่าปี่ คนทั้งหลายนี้ลมออกนอกกายจึงไม่ตายเล่าเพราะเหตุอย่างไร
อันตกายะก็จนใจไม่รู้ที่จะแก้ไข จึงว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าแก้ไขออกให้แจ้งเถิด ข้าพเจ้ารู้อะไรจะไปตอบโต้ถ้อยคำกับพระผู้เป็นเจ้าเล่า
ครั้งนั้นพระนาคเสนจึงว่า ดูกรอันตกายะ ท่านว่าลมนี้คือลมหายใจเข้าอก ลมหายใจเข้าออกนี้เป็นกายสังขาร
อันตกายะจึงถามพระนาคเสนว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า กายสังขารตั้งอยู่ที่ไหน
พระนาคเสนจึงบอกให้ว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า กายสังขารตั้งอยู่ในขันธ์ ว่าแล้วเท่านั้น พระนาคเสนก็สำแดงธรรมเทศนาแก้ไขให้อันตกายอำมาตย์ฟัง
อันตกายะตั้งใจสวนาการไป ก็มีจิตเลื่อมใสโสมนัสศรัทธาเคารพพระศรีรัตนตรัยเป็นอุบาสกในพระศาสนา
ตกว่าพระนาคเสนว่า ลมอัสสาสะปัสสาสะคือลมหายใจเข้าออกนี้เป็นกายสังขาร แหละถ้าท่านทายกไม่เข้าใจว่ากายสังขารนี้คือลมบำรุงกาย นัยหนึ่งว่าลมหายใจเข้าออกนี้เป็นรูปเนื่องมาแต่มหาภูตรูปคือวาโยธาตุ ลมหายใจเข้าออกนี้เรียกว่ากาย จะถือว่าเป็นชีวิตนั้นไม่ควรและกายสังขารคือลมหายใจเข้าออกนี้ก็ตั้งอยู่
ในขันธ์ทั้ง ๕ มีรูปขันธ์เป็นต้น อธิบายทั้งนี้จะให้ เข้าใจว่ากายสังขารนี้เป็นชื่อแห่งลมหายใจเข้าออก โลกย่อมพูดกันว่าเราท่านทุกวันนี้ มีลมหายใจเข้าออกอยู่ก็ว่าคนและคำอันนี้ว่าแต่พอจะให้เห็นพระทุกขังพระอนิจจังพระอนัตตา แต่ว่าลมหายใจเข้าออกนี้จะถือว่ามีพร้อมกันอยู่แล้ว เรียกว่าเป็นชีวิตนั้นไม่ได้ เป็นแต่บำรุงกายบำรุงชีวิตและลมหายใจ จะเป็นชีวิตหามิได้

 อันตกายปัญหา คำรบ ๔ จบเท่านี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น